วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เปลือกผลไม้ลบคำผิด

ชื่อ                     นางสาวอรวรรณ ตุมชาติ
ชื่อเรื่อง              เปลือกผลไม้ลบคำผิด
รายวิชา              นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ
รหัสวิชา            1031101
ครูที่ปรึกษา       ว่าที่ ร..บุญโต  นาดี 
ปีการศึกษา        1/2557

บทนำ

ที่มาและความสำคัญ
จากสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่เราได้ประสบปัญหากันนั้น หลายท่านคงทราบว่า ภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ดิ่งตัวลงอย่างน่าตกใจนั้นได้ส่งผลต่อราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคในตลาดได้ปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย ทำให้เหล่าพ่อค้าและประชาชนต้องประสบปัญหาสินค้าแพง และสินค้าขายไม่ได้ หรือสินค้าขาดตลาดทำให้ราคาสินค้ายิ่งขยับตัวแพงขึ้นไปอีก ซึ่งท่านพ่อบ้านแม่บ้านอาจจะกำลังกลุ้มใจกับรายจ่ายภายในครัวเรือนที่ต้องมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น แต่รายรับยังมีเท่าเดิม ดังนั้นพวกเราจึงได้ปรึกษาและหาทางออกเพื่อช่วยท่านพ่อบ้านและแม่บ้านทั้งหลาย ให้มีรายจ่ายภายในครัวเรือนลดน้อยลงบ้าง ซึ่งต้องเริ่มจากสิ่งที่เราใช้ทุกวัน และสิ้นเปลืองอย่างมาก เช่น น้ำยาทำความสะอาดที่พวกเราใช้กันอยู่ทุกวัน และมีราคาแพง เราจึงได้คิดค้นวิธีศึกษา และวิธีการทดลองประดิษฐ์น้ำยาขจัดคาบจากเปลือกผลไม้ใช้เองซึ่งจะทำให้ได้ลดรายจ่ายภายในครัวเรือนได้อีกนิดหนึ่งก็ยังดีน้ำขจัดคาบที่เราได้ศึกษาและนำมาเสนอนี้ ล้วนมีวัตถุดิบที่มาจากธรรมชาติหาได้ภายในครัวเรือนและท้องถิ่น ไม่อันตราย แถมยังไม่ต้องซื้อหา ทำให้ประหยัดเงินไปได้อีกมากมาย วิธีการทำน้ำยาขจัดคาบก็ง่ายแสนง่าย เพียงแค่ท่านพ่อบ้านแม่บ้าน หรือผู้ที่สนใจจะศึกษา และนำไปทำก็สามารถทำได้ด้วยตัวเอง แถมเมื่อเรามีความรู้ความสามารถทำได้สำเร็จแล้วนั้นเราอาจจะแบ่งปันความรู้ให้กับผู้ที่สนใจแต่ไม่ค่อยมีเวลาศึกษาเอกสารเองก็ได้
จากข้อมูลและเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ทำให้ผู้จัดทำเกิดความสนใจที่จะทดลองทำน้ำยาขจัดคาบจากเปลือกผลไม้รสเปรี้ยวที่ทิ้งตามตลาด หรือผลไม้บนต้นที่มีจำนวนมากจนทานไม่หมด รวมทั้งผลไม้2ชนิดที่ผู้จัดทำนำมาทดลอง ได้แก่ ส้ม และ มะนาว  ซึ่งผลไม้ทั้งสามชนิดต้องปอกเปลือก  เปลือกที่เหลือไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ ผู้วิจัยจึงนำเปลือกผลไม้ดังกล่าวมาบีบยาง  ออกและลองนำมาถูรอยของน้ำยาลบคำผิดที่อยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือของผู้วิจัยและผลปรากฏว่า ผลไม้ทั้งสามชนิดสามารถลบรอยน้ำยาลบคำผิด และได้ลองทดลองกับผลไม้ชิดอื่นๆ ได้แก่ สาลี่ และ แอปเปิ้ลเขียว ปรากฏว่าสามารถลบน้ำยาลบคำผิดได้เช่นกัน

จุดมุ่งหมายของโครงงาน
              1. เพื่อนำสิ่งเหลือใช้หรือเศษขยะมาใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด
               2. เพื่อศึกษาวิธีการนำเปลือกผลไม้แต่ละชนิดมาลบน้ำยาลบคำผิดบนโต๊ะ เก้าอี้ และผนังห้อง
              3.  เพื่อนำกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมและตัวของตนเอง
4.  เพื่อส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เพื่อฝึกฝนตนเองให้เป็นนักวิทยาศาสตร์
สมมติฐานของการศึกษา             
ถ้านำเปลือกผลไม้ทั้ง4ชนิดได้แก่ เปลือกส้ม เปลือกมะนาว เปลือกสาลี่ และเปลือกแอปเปิ้ลเขียว มาลบน้ำยาลบคำผิด เปลือกมะนาวจะลบน้ำยาลบคำผิดได้ดีที่สุด
ขอบเขตของโครงงาน
โครงงานเรื่อง เปลือกผลไม้ลบคำผิด ผู้ศึกษาได้กำหนดขอบเขตของการศึกษาคนคว้าไว้ดังนี้
1.  ขอบเขตด้านเนื้อหา
     -   สรรพคุณของมะกรูด ส้มเขียวหวาน มะนาวและส้มโอ
     -   รายการอุปกรณ์และสารเคมี
     -  วิธีการทดลอง
2.  ขอบเขตด้านระยะเวลา
ผู้ศึกษาค้นคว้าได้ใช้ระยะเวลาในการศึกษา คือ ตั้งแต่ 13 ตุลาคม 2557 ถึง 24 พฤศจิกายน 2557 นำเปลือกผลไม้มาทดลอง 4 ชนิด ได้แก่ เปลือกมะกรูด ส้มเขียวหวาน มะนาวและส้มโอ โดยการถูรอยน้ำยาลบคำผิด ( ลิควิดเปเปอร์ : liquid paper ) ที่ติดตามโต๊ะเรียน เก้าอี้ แผ่นไม้ เปรียบเทียบความสามารถในการหลุดลอกของน้ำยาลบคำผิดลิควิดเปเป้อร์ ( ลิควิดเปเปอร์ : liquid paper )
วิธีการดาเนิน
1.  ศึกษาและหาหัวข้อเรื่องที่สนใจ
2.  เมื่อได้ชื่อเรื่องแล้ว คือ เรื่อง เปลือกผลไม้ลบคำผิด แล้วจัดทำ เค้าโครงโครงงาน วัตถุประสงค์ในการจัดทำโครงงาน และประโยชน์ในการจัดทำโครงงานพร้อมนำเสนอต่ออาจารย์บุญโต นาดี และรอการอนุมัติ เพื่อดำเนินงานทำโครงงาน 
4.  เมื่อได้รับการอนุมัติจาก อาจารย์บุญโต นาดี แล้ว แล้วก็ได้ศึกษาเนื้อหาและทำการรวบร่วมข้อมูลต่างๆไม่ว่าจะเป็นจากเอกสารลือออนไลน์ ที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่อง เปลือกผลไม้ลบคำผิด
5.  ดำเนินการจัดทำโครงงานและในขณะที่ดำเนินงานก็ได้นำเสนอรับคำปรึกษาและแนะแนวจาก อาจารย์บุญโต นาดี ตลอดการดำเนินงาน
6.  ส่งรายงานความคืบหน้าของโครงงาน
7.  จัดการรวบร่วมบทที่ต่างๆ ของโครงงานมาเป็นรูปเล่มและพร้อมนำเสนอ

ประโยชน์ที่ได้รับ
1.  ทำให้รอยน้ำยาลบคำผิดบนโต๊ะ เก้าอี้ และผนังห้องหลุดออกไปและสะอาดขึ้น
2.  ปลอดภัยกับผู้ที่ใช้เปลือกผลไม้ในการลบรอยน้ำยาลบคำผิดเพราะเปลือกผลไม้ได้มาจากธรรมชาติ
3.  รักษาโต๊ะ เก้าอี้ และผนังห้อง ไม่ให้เป็นรอยการลบ
4.  ประหยัดค่าใช้จ่ายทางการเงิน เนื่องจากไม่ต้องซื้อสารเคมีมาลบหรือทาทับน้ำยาลบคำผิด
5.  ประหยัดเวลาในการหาสิ่งที่จะสามารถนำมาลบน้ำยาลบคำผิดได้
6.  หาได้ง่าย สะดวก เนื่องจากเป็นสิ่งที่มีกันทุกบ้าน และปลอดภัยต่อผู้ใช้ 

นิยามศัพท์เฉพาะ
1. น้ำยาลบคำผิด หมายถึง เป็นของเหลวสีขาวทึบใช้สำหรับป้ายทับข้อความผิดพลาดในเอกสาร และเมื่อแห้งแล้วสามารถเขียนทับได้ โดยปกติน้ำยาลบคำผิดจะบรรจุอยู่ในขวดเล็ก และมีฝาซึ่งมีแปรงติดอยู่ (หรืออาจเป็นชิ้นโฟมสามเหลี่ยม) ซึ่งจุ่มน้ำยาอยู่ในขวด แปรงนั้นใช้สำหรับป้ายน้ำยาลงบนกระดาษ ก่อนที่จะมีการคิดค้นโปรแกรมประมวลคำ น้ำยาลบคำผิดเป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับการพิมพ์เอกสารด้วยเครื่องพิมพ์ดีด รูปแบบแรกสุดของน้ำยาลบคำผิดถูกคิดค้นขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1951 โดยเลขานุการ Bette Nesmith Graham ผู้ก่อตั้งบริษัทลิควิดเปเปอร์ ด้วยการใส่สีขาวบรรจุลงในขวดน้ำยาทาเล็บ ใช้พู่กันป้ายน้ำยาสีขาวลงบนกระดาษที่พิมพ์คำผิด
2.  ทินเนอร์ เนื่องจากน้ำยาลบคำผิดประกอบด้วยตัวทำละลายอินทรีย์ (สารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย) น้ำยาที่ไม่ได้ใช้เป็นเวลานานจะข้นมากขึ้นตามเวลาเพราะตัวทำละลายจะระเหยไปในอากาศ ซึ่งอาจทำให้น้ำยาข้นเกินไปที่จะใช้ หรือบางทีก็แห้งกรังไปเลย ดังนั้นผู้ผลิตน้ำยาลบคำผิดบางรายจึงขายตัวทำละลายเป็นอีกขวดแยกต่างหากโดยเรียกว่า ทินเนอร์ การใส่ทินเนอร์เพียงไม่กี่หยดลงในขวดก็ทำให้น้ำยากลับมาเป็นสภาพปกติทินเนอร์ที่ว่านี้เดิมประกอบด้วยโทลูอีน ซึ่งถูกห้ามใช้เนื่องจากเป็นสารก่อมะเร็ง ในเวลาต่อมาได้เปลี่ยนไปใช้ 1,1,1-ไตรคลอโรอีเทน แต่ก็ถูกห้ามใช้อีกโดยพิธีสารมอนทรีออล (Montreal Protocol) เนื่องจากเป็นสารที่ทำลายโอโซนในชั้นบรรยากาศ จึงเปลี่ยนไปใช้ไตรคลอโรเอทิลีนซึ่งก็ไม่ได้ปลอดภัยจากเดิมมากนัก ปัจจุบันนี้ทินเนอร์ที่ใช้ในน้ำยาลบคำผิดมีส่วนประกอบของโบรโมโพรเพน เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความไม่สะดวกที่จะใช้ตัวทำละลายอินทรีย์ ด้วยเหตุผลของความปลอดภัยและการสรรหา น้ำยาลบคำผิดบางยี่ห้อสามารถใช้น้ำเป็นตัวทำละลายได้ แต่ก็มีข้อเสียตรงที่ใช้เวลาแห้งนานกว่า และไม่สามารถใช้ได้กับหมึกบางประเภท ซึ่งจะทำให้สีหมึกปนกับน้ำยา
มะนาว lime
เป็นไม้ผลชนิดหนึ่ง ผลมีรสเปรี้ยวจัด จัดอยู่ในสกุล ส้ม (Citrus) ผลสีเขียว เมื่อสุกจัดจะเป็นสีเหลือง เปลือกบาง ภายในมีเนื้อแบ่งกลีบๆ ชุ่มน้ำมาก นับเป็นผลไม้ที่มีคุณค่า นิยมใช้เป็นเครื่องปรุงรส นอกจากนี้ยังถือว่ามีคุณค่าทางโภชนาการและทางการแพทย์ด้วย
สำหรับชื่อสามัญนั้น ในหลายภาษาก็เรียกชื่อแตกต่างกันไป เช่น ในภาษาอังกฤษ เรียก Mexica lime, West Indian lime, และ Key lime หรือเรียก limeสั้นๆ ก็ได้ สาเหตุที่มีหลายชื่ออาจเป็นเพราะเป็นพืชต่างถิ่น จึงไม่มีชื่อดั้งเดิมในภาษานั้นๆ ทำให้เกิดการเสนอชื่ออื่นๆ มาหลายชื่อก็เป็นได้ ส่วนในประเทศไทยยังเรียกอีกหลายชื่อ เช่น โกรยชะม้า, ปะนอเกล,ปะโหน่งกลยาน, มะนอเกละ, มะเน้าด์เล, มะลิ่ว, ส้มมะนาว, ลีมานีปีห์, หมากฟ้า
อนึ่ง คำว่า เลมอน (lemon) ในภาษาอังกฤษ หมายถึง ผลส้มอีกชนิดหนึ่ง ที่หัวท้ายมน ไม่ใช่ผลกลมอย่างมะนาวที่เรารู้จักกันดี

 ส้ม orange
เป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็กหลายชนิด เป็นพืชใบเลี้ยงคู่ สกุล Citrus วงศ์ Rutaceae มีด้วยกันนับร้อยชนิด เติบโตกระจายอยู่ทั่วโลก โดยมากจะมีน้ำมันหอมระเหยในใบ ดอก และผล และมีกลิ่นฉุน หากนำใบขึ้นส่องกับแสงแดด จะเห็นจุดเล็กๆ เต็มไปหมด ซึ่งจุดเหล่านั้นก็คือแหล่งน้ำมันนั่นเอง ส้มหลายชนิดรับประทานได้ ผลมีรสเปรี้ยวหรือหวาน มักจะมีแคลเซียม โปแทสเซียม ไวตามินเอ และไวตามินซี มากเป็นพิเศษ ถ้าผลไม้จำพวกนี้มี มะ อยู่หน้า ต้องตัดคำ ส้ม ออก เช่น ส้มมะนาว ส้มมะกรูด เป็น มะนาว มะกรูด
สาลี่ Chinese pear
หรือสาลี่จีน ( ชื่อวิทยาศาสตร์: Pyrus pyrifloraL.) มีชื่ออื่นๆอีกหลายชื่อ เช่น nashi pear ในญี่ปุ่นเรียก nashi ภาษาเกาหลีเรียก shingo เป็นชื่อไม้ต้นชนิดหนึ่งในวงศ์ Rosaceae เป็นพืชเมืองหนาว ถิ่นกำเนิดในภาคตะวันตกของจีน ลักษณะเป็นไม้ยืนต้น ต้นชะลูด ทรงพีระมิด ดอกสีขาวออกเป็นช่อ ผลมีหลายสี ตั้งแต่เหลือง แดงอมส้ม น้ำตาล เขียว เนื้อกรอบ ฉ่ำน้ำ บางพันธุ์เนื้อเป็นทราย รสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย กลิ่นหอม เมล็ดขนาดเล็ก แบนรี สีดำหรือสีน้ำตาลเกือบดำ
แอปเปิ้ลเขียว  Green apple
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Malus domestica Borkh.แอปเปิ้ล เป็นไม้ผลเมืองหนาวประเภทผลัดใบ ซึ่งมีแหล่งกำเนิดทางยุโรป แหล่งปลูกที่สำคัญ ๆ ของโลกคือทวีปอเมริกา ยุโรปทางแถบเอเซียก็มี เช่น โซเวียต จีน ญี่ปุ่นรวมทั้งออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ด้วย สำหรับประเทศไทยนั้นเพิ่งจะถูกนำเข้ามาปลูกไม่กี่ปี ลักษณะต้นและใบ เป็นไม้เนื้อแข็ง รูปร่างของยอดที่เจริญเต็มวัยจะแตกต่างไปตามชนิดและตามพันธุ์ โดยทั่วไปต้นแอปเปิ้ลมีรูปร่างเกือบเป็นทรงกลม แต่บางพันธุ์ก็มีลักษณะสูงชะลูด บางพันธุ์ก็มีลักษณะเป็นพุ่มแจ้ ใบเป็นใบเดี่ยวเขียวสลับกันและขอบเป็นหยัก ผลคล้ายชมพู่มีรอยเป็นปุ๋มทางด้านขั้นและก้นผล แต่ไม่ลึกนักมีสีผิวต่างกันตั้งแต่สีเหลืองคล่ำจนถึงน้ำตาลแดงเข้ม เนื้อมักจะมีสีขาวหรือขาวนวลซึ่งมีลักษณะหยาบ แอปเปิ้ลเป็นพืชในสกุล Rosaceae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Malus domestica
กรด acid
 (มาจากภาษาละติน acidus/acere หมายถึง "เปรี้ยว") เป็นสสารซึ่งทำปฏิกิริยากับเบส โดยทั่วไป กรดสามารถระบุได้ด้วยรสเปรี้ยว, สมบัติทำปฏิกิริยากับโลหะอย่างแคลเซียม และเบสอย่างโซเดียมคาร์บอเนต กรดที่ละลายน้ำมี pH น้อยกว่า 7 โดยที่กรดจะแรงขึ้นตามค่า pH ที่ลดลง และเปลี่ยนกระดาษลิตมัสสีน้ำเงินเป็นแดง
น้ำยาลบคำผิด liquid paper

เป็นของเหลวสีขาวทึบใช้สำหรับป้ายทับข้อความผิดพลาดในเอกสาร และเมื่อแห้งแล้วสามารถเขียนทับได้ โดยปกติน้ำยาลบคำผิดจะบรรจุอยู่ในขวดเล็ก และมีฝาซึ่งมีแปรงติดอยู่ (หรืออาจเป็นชิ้นโฟมสามเหลี่ยม) ซึ่งจุ่มน้ำยาอยู่ในขวด แปรงนั้นใช้สำหรับป้ายน้ำยาลงบนกระดาษทิชชู่

เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
               มะนาว (อังกฤษ: Lime) เป็นไม้ผลชนิดหนึ่ง ผลมีรสเปรี้ยวจัด จัดอยู่ในสกุลส้ม (Citrus) ผลสีเขียว เมื่อสุกจัดจะเป็นสีเหลือง เปลือกบาง ภายในมีเนื้อแบ่งกลีบๆ ชุ่มน้ำมาก นับเป็นผลไม้ที่มีคุณค่า นิยมใช้เป็นเครื่องปรุงรส นอกจากนี้ยังถือว่ามีคุณค่าทางโภชนาการและทางการแพทย์ด้วย
ผลมะนาวโดยทั่วไปมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4 – 4.5 เซนติเมตร ต้นมะนาวเป็นไม้พุ่มเตี้ย สูงเต็มที่ราว 5 เมตร ก้านมีหนามเล็กน้อย มักมีใบดก ใบยาวเรียวเล็กน้อย คล้ายใบส้ม ส่วนดอกสีขาวอมเหลือง ปกติจะมีดอกผลตลอดทั้งปี แต่ในช่วงหน้าแล้ง จะออกผลน้อย และมีน้ำน้อย
  มะนาวเป็นพืชพื้นเมืองในภูมิภาคเอเชียนตะวันออกเฉียงใต้ผู้คนในภูมิภาคนี้รู้จักและใช้ประโยชน์จากมะนาวมาช้านาน น้ำมะนาวนอกจากใช้ปรุงรสเปรี้ยวในอาหารหลายประเภทแล้ว ยังนำมาใช้เป็นเครื่องดื่ม ผสมเกลือ และน้ำตาล เป็นน้ำมะนาว ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศทั่วโลก นอกจากนี้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางชนิดยังนิยมฝานมะนาวเป็นชิ้นบางๆ เสียบไว้กับขอบแก้ว เพื่อใช้แต่งรส
ในผลมะนาวมีน้ำมันหอมระเหยถึง 7% แต่กลิ่นไม่ฉุนอย่างมะกรูด น้ำมะนาวจึงมีประโยชน์สำหรับใช้เป็นส่วนผสมน้ำยาทำความสะอาด เครื่องหอม และการบำบัดด้วยกลิ่น (aromatherapy) หรือน้ำยาล้างจาน ส่วนคุณสมบัติที่สำคัญ ทว่าเพิ่งได้ทราบเมื่อไม่ช้านานมานี้ (ราวคริสต์ศตวรรษที่ 19) ก็คือ การป้องกันและรักษาโรคลักปิดลักเปิด ซึ่งเคยเป็นปัญหาของนักเดินเรือมาช้านาน ภายหลังได้มีการค้นพบว่าสาเหตุที่มะนาวสามารถช่วยป้องกันโรคลักปิดลักเปิด เพราะในมะนาวมีไวตามินซีเป็นปริมาณมาก
มะนาวมีน้ำมันหอมระเหยที่ให้กลิ่นสดชื่น เพราะมีส่วนประกอบของสารซิโตรเนลลัล (Citronellal) ซิโครเนลลิล อะซีเตต (Citronellyl Acetate) ไลโมนีน (Limonene) ไลนาลูล (Linalool) เทอร์พีนีออล (Terpeneol) ฯลฯ รวมทั้งมีกรดซิตริค (Citric Acid) กรดมาลิค (Malic Acid) และกรดแอสคอร์บิก (Ascorbic Acid) ซึ่งถือเป็นกรดผลไม้ (AHA : Alpha Hydroxy Acids) กลุ่มหนึ่ง เป็นที่ยอมรับว่าช่วยให้ผิวหน้าที่เสื่อมสภาพหลุดลอกออกไป พร้อมๆ กับช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ๆ ช่วยให้รอยด่างดำหรือรอยแผลเป็นจางลง

  ชื่อของมะนาว
มะนาวก็เหมือนกับส้มทั้งหลาย ที่มีปัญหาในการจัดหมวดหมู่และแยกแยะทางอนุกรมวิธาน สำหรับชื่อวิทยาศาสตร์ที่คุ้นเคยของมะนาว ก็คือ Citrus aurantifolia Swingle หรือ "Citrus aurantifolia" ( Christm & Panz ) Swing." แต่ยังมีชื่ออื่นๆ อีก ดังนี้
C. acida Roxb.
C. lima Lunan
C. medica var. ácida Brandis และ
Limonia aurantifolia Christm
สำหรับชื่อสามัญนั้น ในหลายภาษาก็เรียกชื่อแตกต่างกันไป เช่น ในภาษาอังกฤษ เรียก Mexica lime, West Indian lime, และ Key lime หรือเรียก lime สั้นๆ ก็ได้ สาเหตุที่มีหลายชื่ออาจเป็นเพราะเป็นพืชต่างถิ่น จึงไม่มีชื่อดั้งเดิมในภาษานั้นๆ ทำให้เกิดการเสนอชื่ออื่นๆ มาหลายชื่อก็เป็นได้ ส่วนในประเทศไทยยังเรียกอีกหลายชื่อ เช่น โกรยชะม้า, ปะนอเกล, ปะโหน่งกลยาน, มะนอเกละ, มะเน้าด์เล, มะลิ่ว, ส้มมะนาว, ลีมานีปีห์, หมากฟ้า
อนึ่ง คำว่า เลมอน (lemon) ในภาษาอังกฤษ หมายถึง ผลส้มอีกชนิดหนึ่ง ที่หัวท้ายมน ไม่ใช่ผลกลมอย่างมะนาวที่เรารู้จักกันดี สำหรับ มะนาวเทศ (Triphasia trifolia) นั้น เป็นพืชในวงศ์เดียวกัน (Rutaceae) กับมะนาว แต่ต่างสกุล ส่วน มะนาวควาย หรือ ส้มซ่า (Citrus medica Linn. Var. Linetta.) เป็นพืชสกุลส้มเช่นเดียวกัน แต่ต่างชนิด (สปีชีส์) กัน
ส้มนาวเป็นภาษาใต้ที่ใช้เรียกมะนาว เช่นเดียวกับทางภาคอีสานเรียกผลไม้บางอย่างว่า"บัก"ในการขึ้นต้น เช่นบักม่วงที่หมายถึงมะม่วง คำว่าส้มในภาษาใต้จะใช้เรียกผลไม้บางชนิดที่มีรสเปรี้ยว อย่าง ส้มนาว ส้มขาม เป็นต้น
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
               
อาณาจักร Plantae
               
ดิวิชั่น       Magnoliophyta
               
ชั้น           Magnoliopsida
               
อันดับ      Sapindales
               
วงศ์         Rutaceae
               
สกุล        Citrus
               
สปีชีส์      C. aurantifolia
               
ชื่อทวินาม  Citrus aurantifolia (Swing.)
ลักษณะทั่วไปของมะนาว
                เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กทรงพุ่ม ตัวใบรูปร่างกลมรี ขอบใบหยักเล็กน้อย ปลายและโคนใบมน ดอกเล็กสีขาวอมเหลือง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ผลกลมเปลือกบางเรียบ มีน้ำชุ่มมาก รสเปรี้ยว เปลือกผลมีน้ำมัน กลิ่นหอม รสขม สามารถปลูกได้ในดินทุกชนิด โดยเฉพาะดินร่วนซุยและระบายน้ำได้ดี ควรปลูกในฤดูฝนช่วงที่ปลูกใหม่ ๆ ต้องรดน้ำทุกวันและไม่ควรโดนแดดมาก

         โดยมีความเชื่อตามตำราพรหมชาติฉบับหลวงกล่าวไว้ว่า มะนาวเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งที่ควรปลูกไว้ในบริเวณบ้าน กำหนดปลูกทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ (พายัพ) เพื่อผู้ที่อยู่อาศัยในบ้านจะได้มีความสุขสวัสดี
วิธีการปลูกมะนาว
               
พันธุ์มะนาวที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ และปลูกกันในประเทศไทยในปัจจุบัน ได้แก่
               
1. มะนาวหนัง ผลอ่อนมีลักษณะกลมยาวหัวท้ายแหลม เมื่อโตเต็มที่ผลจะมีลักษณะกลมค่อนข้างยาว มีกลมมนบ้างเล็กน้อย ด้านหัวมีจุกเล็ก ๆ มีเปลือกค่อนข้างหนา จึงทำให้เก็บรักษาผลไว้ได้นาน
               
2. มะนาวไข่ มีขนาดและลักษณะคล้ายมะนาวหนังเกือบทุกอย่าง ผลอ่อนมีลักษณะกลมยาวหัวท้ายแหลม เมื่อโตเต็มที่ผลจะมีลักษณะกลมมนเป็นส่วนมาก เปลือกบาง ผลโตกว่ามะนาวหนัง
               
3. มะนาวแป้น เป็นมะนาวที่สามารถให้ดอกออกผลตลอดปี ผลมีขนาดกลาง ทรงผลแป้น เปลือกบาง มีหลายพันธุ์ เช่น พันธุ์แป้นรำไพ แป้นทราย เป็นต้น

การเตรียมพื้นที่ปลูก
               
1. พื้นที่ลุ่ม เตรียมพื้นที่โดยการทำคันดินให้มีความกว้างประมาณ 6-8 เมตร ส่วนสูงให้สังเกตจากปริมาณน้ำที่เคยท่วมสูงโดยให้อยู่สูงกว่า แนวระดับน้ำท่วม 50 เซนติเมตร แทงร่องหรือซอยร่องทำประตูน้ำเพื่อ ระบายน้ำเข้าออก ขนาดร่องน้ำกว้าง 1.5 เมตร ลึก 1 เมตร พื้นที่ร่องกว้าง 0.5-0.7 เมตร ใช้ระยะปลูก 5X5 เมตร
               
2. พื้นที่ดอน ควรไถพรวนเพื่อกำจัดวัชพืช และทำให้ดินร่วนซุย ใช้ระยะปลูก 4 x 4 - 6 x 6 เมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน
               
มะนาวเป็นพืชที่สามารถปลูกได้ดีในดินเกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น ดินเหนียว ดินทราย แต่ถ้าต้องการจะปลูกมะนาวให้เจริญงอกงามดี มีผลดกและคุณภาพดี ก็ควรจะปลูกในพื้นที่ที่เป็นดินร่วนซุย มีการระบาย น้ำดี มีอินทรียวัตถุผสมอยู่มาก และควรเลือกพื้นที่ที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำ
วิธีการปลูก
             1. ควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝน
             2. ควรขุดหลุมปลูกให้มีขนาดกว้างและลึกประมาณ 50 เซนติเมตร
             3. ผสมดิน ปุ๋ยคอก และปุ๋ยร็อคฟอสเฟตเข้าด้วยกันในหลุมให้ สูงประมาญ 2 ใน 3 ของหลุม
             4. ยกถุงกล้าต้นไม้วางในหลุม โดยให้ระดับของดินในถุงสูงกว่าระดับดินปากหลุมเล็กน้อย
             5. ใช้มีดที่คมกรีดถุงจากก้นถุงขึ้นมาถึงปากถุงทั้ง 2 ด้าน (ช้ายและขวา)
             6. ดึงถุงพลาสติกออก โดยระวังอย่าให้ดินแตก
             7. กลบดินที่เหลือลงในหลุม
             8. กดดินบริเวณโคนต้นให้แน่น
             9. ปักไม้หลักและผูกเชือกยึด เพื่อป้องกันลมพัดโยก
             10. หาวัตถุคลุมดินบริเวณโคนต้น เช่น ฟางข้าว หญ้าแห้ง
             11. รดน้ำให้โชก
             12. ทำร่มเงา เพื่อช่วยพรางแสงแดด
การปฏิบัติดูแลรักษา
1. การให้น้ำ
    ต้องมีการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่ปลูกใหม่ๆ ควรให้น้ำวันละครั้งเป็นอย่างน้อย (กรณีฝนไม่ตก) หลังจากปลูกประมาณ 15 วัน มะนาวสามารถตั้งตัวได้แล้ว ให้น้ำเดือนละ 2-3 ครั้ง และควรหา วัสดุมาคลุมดินบริเวณโคนต้น เพื่อช่วยรักษาความชื้น ควรเริ่มงดให้น้ำ ตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม เป็นต้นไป จนถึงช่วงออกดอกเพื่อให้มะนาวสะสม อาหารให้สูงถึงระดับที่สามารถสร้างตาดอกได้ ปกติมะนาวจะออกดอก เดือนเมษายน-พฤษภาคม หลังจากมะนาวออกดอก และกำลังติดผลอ่อน เป็นช่วงที่มะนาวต้องการน้ำมาก เพื่อใช้ในการเจริญเติบโตของผล
2. การใส่ปุ๋ย
            2.1 หลังจากมะนาวอายุได้ 3-4 เดือน ควรใส่ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยคอก ประมาณต้นละ 0.5 กิโลกรัม กรณีใส่ปุ๋ยเคมีควรใส่หลังจาก พรวนดินกำจัดวัชพืชแล้ว โดยใส่บริเวณรอบทรงพุ่ม แล้วก็ให้น้ำตามเพื่อ ให้ปุ๋ยละลาย
            2.2 เมื่อมะนาวอายุ 1 ปี ให้ใส่ปุ๋ยตราบัวทิพย์ สูตร 2 ประมาณ ต้นละ 300 กรัม และเมื่อมะนาวอายุ 2 ปี ก็เพิ่มปริมาณปุ๋ยโดยใส่ปีละ 2 ครั้ง ๆ ละประมาณ 1 กิโลกรัม ทั้งนี้ขี้นอยู่กับสภาพความอุดมสมบูรณ์ ของตน และเมื่อมะนาวอายุย่างเข้าปีที่ 3 ก็จะเริ่มให้ผลผลิต
            2.3 ช่วงระยะก่อนออกดอกประมาณ 1-2 เดือน ให้ใส่ปุ๋ย เพื่อเร่งการเจริญเติบโตในระยะที่ยังไม่ออกดอก ในระยะเร่งการออกดอก ประมาณ 0.5-1 กิโลกรัม/ต้น ปริมาณที่ใช้ ขึ้นอยู่กับอายุของต้นพืช โดยใส่ในปริมาณครึ่งหนึ่งของอายุต้น
3. การกำจัดวัชพืช
              การกำจัดวัชพืชในสวนมะนาวสามารถทำได้หลายวิธี เช่น ถอน ถาง หรือใช้เครื่องตัดหญ้าแต่ต้องระวังอย่าให้เกิดบาดแผลตามโคนต้น หรือกระทบกระเทือนราก วิธีกำจัดวัชพืชอีกวิธีหนึ่งที่นิยมคือการใช้สารเคมี เช่น พาราชวิท ไกลโฟเสท ดาวพอน เป็นตัน โดยการใช้จะต้องระวัง อย่าให้สารพวกนี้ปลิวไปถูกใบมะนาวเพราะอาจเกิดอันตรายได้ เช่นทำให้ ใบไหม้เหลืองเป็นจุดๆ หรือไหม้ทั้งใบ ดังนั้นจึงควรฉีดพ่นตอนลมสงบ
 4. การค้ำกิ่ง
               เมื่อมะนาวใกล้จะผลิดอกออกผล ต้องมีการค้ำกิ่งให้กับต้นมะนาวด้วย เพื่อป้องกันกิ่งฉีกหักหรือฉีกขาดโดยเฉพาะในช่วงติดผล และยังช่วยลดความเสียหาย เนื่องจากโรคและแมลงได้ โดยวิธีการค้ำกิ่ง สามารถทำได้ 2 วิธี คือ
               1. การค้ำกิ่งโดยการใช้ไม้รวกหรือไม่ไผ่ทำเป็นง่าม สอดเข้ากับกิ่งมะนาว ให้ปลายอีกข้างหนึ่งวางตั้งรับน้ำหนักของกิ่งอยู่บนพื้นดิน แล้วใช้เชือกผูกมัดกิ่งไว้
                2. การค้ำกิ่งแบบคอกหรือนั่งร้าน โดยเอาไม้มาทำเป็นนั่งร้านรูปสี่เหลี่ยมรอบๆ ต้นมะนาวเพื่อรองรับกิ่งใหญ่ ๆ ของมะนาวไว้ อาจทำเป็น 2-3 ชั้น แล้วให้กิ่งพาดอยู่ที่ชั้นใดก็ได้ ซึ่งวิธีนี้จะมั่นคงทนทาน และใช้ประโยชน์ได้ดีกว่าวิธีแรก
 5. การตัดแต่งกิ่ง
    เพื่อให้มะนาวมีทรงพุ่มสวยและให้ผลดกปราศจากการทำลายของโรคและแมลง การตัดแต่งกิ่งควรทำหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว โดยตัดกิ่งที่เป็นโรค กิ่งแห้ง กิ่งที่ไม่มีประโยชน์ออกให้หมด แล้วนำไปเผาทำลาย อย่าปล่อยทิ้งไว้ตามโคนต้น เพราะจะทำให้เป็นแหล่งสะสมโรคได้
ประโยชน์ของมะนาว
มีวิตามินซีสูงมาก รักษาโรคเลือดออกตามไรฟันได้ดี นอกจากนี้ยังมี ประโยชน์ด้านความงามโดย เอาเปลือกที่บีบเอาน้ำออกแล้ว นำมาทา บริเวณข้อศอก คาง เข่า ฝ่าเท้า ส้นเท้า จะช่วยให้ส่วนเหล่านั้นนุ่มนวลได้อย่างดี
สำหรับใบหน้าสามารถแก้สิวฝ้าได้ในกรณีที่สิวไม่มีการอักเสบติดเชื้อเป็นหนอง ซึ่งมะนาวจะช่วยรักษาสิวให้ลดน้อยลงได้เพราะน้ำมะนาวมีสภาวะเป็นกรดอ่อน ๆ จะทำให้เนื้อเยื่อที่ตายแล้วหลุดออกไป ทำให้ลดการอุดตันของรูขุมขน ช่วยกำจัดเชื้อโรคและไขมันได้ด้วย การใช้แป้งดินสอพองกับน้ำมะนาวทาบริเวณที่เป็นสิวก่อนนอนทุกวัน สิวจะค่อย ๆ ยุบหายไปในที่สุด ส่งผลให้ใบหน้าสวยใส
นอกจากนี้ยังมีประโยชน์อีกมากมาย ดังนี้
               1.  ทำเบบี้เฟซ หรือหน้าดูเด็ก
               วิธีทำ เอาน้ำมะนาวคั่นแล้วครึ่งลูก ผสมกับดินสอพองหมักทิ้งไว้สักพัก จากนั้นนำมาทาเบาๆให้ทั่วใบหน้าก่อนนอน ทิ้งไว้ 1 คืน เช้าขึ้นมาล้างหน้าด้วยน้ำธรรมดา แล้วลองลูบไล้ใบหน้าตัวเองดุ จะรู้สึกว่าใบหน้าเราช่างลื่น นุ่มละมุนเสียนี่กระไร หมั่นทำบ่อยๆหน้าจะดูใสอ่อนวัยไปเอง
              2.  วิธีขจัดตีกา บนใบหน้า
              วิธีทำ นำน้ำมะนาว 1 ส่วน น้ำผึ้ง 2 ส่วน ผสมให้เข้ากัน นำมาทาบริเวณรอยประทับของตีนกา ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า ทำอย่างนี้วันละ 2 ครั้ง เช้า เย็น จะช่วยกระตุ้นให้เวลล์ผิวหนังรุ่นใหม่เจริญเติบโตขึ้นมาทดแทนเซลล์รุ่นเก่าที่รอยเหี่ยวย่น ทำบ่อยๆ ก็จะหายไปเอง
              3.  ทำผมสวย
วิธีทำ เส้นผมของคนเราชอบความเป็นกรดอ่อนๆ หนังศีรษะของคนเราก็ชอบกรดอ่อนๆแต่แชมพูที่เราซื้อมา จะเป็นด่าง ด่างกับกรดก็ไม่ถูกกัน เส้นผมหนังหัว สระล้างด้วยด่างเป็นประจำ ทำให้ผมแห้งกรอบพันกัน หนังศีรษะแห้ง ตกสะเก็ดกลายเป็นรังแค ถ้าแพ้มากๆ หนังศีรษะอักเสบหรือมีผมร่วงมีสิทธิ์หัวลานได้ง่าย เมื่อสระผมเส้นแล้ว ต้องการปรับสภาพเส้นผมให้กลับมาเป็นกรดใช้มะนาว นี่แหละครีมนวดชั้นดี เพราะน้ำมะนาวมีฤทธิ์เป็นกรด ให้เอาน้ำมะนาว 30 ซีซี. หรือประมาณ 6 ช้อนชา ผสมกับน้ำ 1 ลิตร สามารถเอามาใช้แทนครีมนวดผมได้สบายมาก
              4.  ใช้เป็นยาสารพัดโรค
วิธีทำ เนื่องจากมะนาวมีสรรพคุณช่วยขจัดสารพิษ สิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกายดื่มน้ำมะนาวบ่อยๆ นอกจากจะช่วยขับปัสสาวะให้สะดวกแล้ว น้ำมะนาวยังช่วยขจัดเสมหะ และแก้ไอได้ โดยการใช้มะนาว น้ำผึ้ง น้ำสุก อย่างละเท่าๆกัน ผสมให้เข้ากันและค่อยจิบ จิบจนหมด แต่ต้องไม่ลืมบ้วนปาก เพราะถ้ากรดมะนาวเหลือตกในช่องปากกรดมะนาวจะกัดผิวฟันให้กร่อนได้
5.สูตรลดความอ้วน
วิธีทำ ทุกเช้าตื่นขึ้นมาดื่มน้ำมะนาวคั้น 1 ลูก ผสมกับน้ำอุ่น 1 แก้ว และก่อนรับประทานอาหารทุกมื้อให้ดื่มน้ำมะนาวคั้นครึ่งลูก ผสมกับน้ำอุ่นน้ำเย็นได้ทั้งนั้น แต่ก็มีข้อแม้คือห้ามใส่น้ำตาลลงไป ในน้ำมะนาวเด็ดขาด ส่วนเกลือนั้นเติมลงได้
มะนาว เป็นผลไม้ที่มีกรดอินทรีย์หลายชนิด เช่น กรดซิตริก กรดมาลิค วิตามินซี ซึ่งได้จากน้ำมะนาว ส่วนน้ำมันหอมระเหยจากผิวมะนาวมีวิตามินเอและซี รวมทั้งมีธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในน้ำมะนาวมีสรรพคุณทางยาคือ เปลือกผล มีรสขม ช่วยขับลม รักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด

สาลี่

สาลี่ หรือสาลี่จีน (อังกฤษ: Chinese pear; ชื่อวิทยาศาสตร์Pyrus pyrifloraL.) มีชื่ออื่นๆอีกหลายชื่อ เช่น nashi pearในญี่ปุ่นเรียก nashi ภาษาเกาหลีเรียก shingo เป็นชื่อไม้ต้นชนิดหนึ่งในวงศ์ Rosaceae เป็นพืชเมืองหนาว ถิ่นกำเนิดในภาคตะวันตกของจีน ลักษณะเป็นไม้ยืนต้น ต้นชะลูด ทรงพีระมิด ดอกสีขาวออกเป็นช่อ ผลมีหลายสี ตั้งแต่เหลือง แดงอมส้ม น้ำตาล เขียว เนื้อกรอบ ฉ่ำน้ำ บางพันธุ์เนื้อเป็นทราย รสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย กลิ่นหอม เมล็ดขนาดเล็ก แบนรี สีดำหรือสีน้ำตาลเกือบดำ

การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์

อาณาจักร                      Plantae

(unranked)                    Angiosperms

(unranked)                    Eudicots

(unranked)                    Rosids

อันดับ                           Rosales

วงศ์                               Rosaceae

สกุล                              Pyrus

สปีชีส์                          P.pyrifolia

ชื่อทวินาม                    Pyrus pyrifolia (Burm.) Nak. 

ลักษณะทั่วไป 
สาลี่เป็นไม้ผลเขตหนาวประเภทรับประทานสด ลักษณะต้นมีขนาดใหญ่อายุยาวนานหลายสิบปี สาลี่ที่ปลูกในประเทศไทย เป็นชนิดสาลี่เอเชีย ซึ่งเนื่อผลจะกรอบและฉ่ำน้ำ ต่างจากสาลี่ยุโรปที่เนื้อผลจะอ่อนนิ่ม พันธุ์สาลี่ที่นิยมปลูก ได้แก่ พันธุ์ Yokoyama Wase, Xiang Sui และพันธุ์ใหม่ (SH-078 และSH-085)
รายละเอียดมาตรฐานคุณภาพ     สาลีพันธุ์ Yokoyama WaseและXiang Suiแบ่งออกได้เป็น 3 เกรด
        เกรดพิเศษ
   ลักษณะผลตรงตามพันธุ์ ไม่มีตำหนิจากโรค และแมลง มีน้ำหนักผลประมาณ    600-700 กรัมต่อผล
        เกรด 1     ลักษณะผลตรงตามพันธุ์ ไม่มีตำหนิจากโรค และแมลง มีน้ำหนักผลประมาณ 450-600 กรัมต่อผล
        เกรด 2     ลักษณะผลตรงตามพันธุ์ ไม่มีตำหนิจากโรค และแมลง มีน้ำหนักผลประมาณ 350-449 กรัมต่อผล
ช่วงการส่งผลผลิตออกสู่ตลาด      เดือนกรกฎาคม – เดือนกันยายน
 
การปลูก  โดยทั่วไปมักจะใช้ระยะ 6x6 เมตร เนื่องจากทรงต้นสาลี่มีลักษณะสูง การปลูกจึงนิยมโน้มกิ่งลงมาให้ขนานกับพื้นดิน เพื่อให้มีสาขาแผ่กระจายออกไปและยังทำให้กิ่งมีการแตกแขนง และการเกิดกิ่งสเปอร์ได้เร็วและมากขึ้นด้วย ถ้าปล่อยให้ทรงต้นสูงตามธรรมชาติกิ่งสเปอร์ซึ่งเป็นที่ออกดอกผลจะเกิดขึ้นช้า ทำให้ผลไม่ดกวิธีการปฏิบัติกันอยู่มีการใช้ไม้ไผ่มาทำเป็นคอกสี่เหลี่ยมรอบทรงพุ่ม แล้วใช้เชือกผูกกิ่งที่โน้มลงมาติดคอกไม้ไผ่ซึ่งจะยึดกิ่งไว้ให้อยู่ในลักษณะแบนราบและจะเป็นที่เกิดดอกและผลเป็นจำนวนมาก การทำคอกสาลี่นอกจากจะทำให้ทรงต้นไม่สูงการดูแลรักษาง่ายแล้ว ยังช่วยป้องกันปัญหาการหักโค่นของต้นเนื่องจากลมพายุ และการฉีกหักของกิ่ง เนื่องจากการติดผลที่ดกได้อีกทางหนึ่งด้วย
เนื่องจากสาลี่มีการออกดอกและติดผลค่อนข้างดก จึงต้องมีการปลิดผลออกบ้างโดยเลือกปลิดให้เหลือแต่ผลที่มีคุณภาพดี โดยเฉลี่ยแล้วจะให้เหลือเพียงผลเดียวต่อ 1 ช่อดอก 
เมื่อปลิดผลเสร็จแล้วต้องห่อถุงเพื่อป้องกันโรคและแมลงและรักษาผิวของผลให้สวยโดยเฉพาะสาลี่พันธุ์ที่มีสีเขียว ถ้าใช้ถุงกระดาษ 2 ชั้นโดยมีชั้นในทึบแสง ผิวผลเวลาเก็บเกี่ยวจะมีสีขาวนวล เป็นที่ต้องการของตลาด ก่อนการห่อผลจำเป็นต้องมีการพ่นยากันราและแมลงก่อนแล้วจึงจะทำการห่อ ทั้งนี้เพื่อป้องกันแมลงที่อาจจะติดอยู่บริเวณผิวผลซึ่งจะทำลายผลให้เสียหายและมีเชื้อราเข้าทำลาย ทำให้ผลเน่าได้ง่าย เนื่องจากฤดูการเจริญเติบโตของผลสาลี่ในประเทศไทยจะตรงกับช่วงที่ฝนตกชุกมาก การพ่นยาก่อนห่อผลช่วยป้องกันการเน่าเสียหายได้มาก
การเก็บเกี่ยว การใช้ถุงกระดาษทึบแสงห่อผลสาลี่ ทำให้ไม่สามรถมองเห็นผลสาลี่ที่อยู่ในถุงได้ดังนั้น การเก็บเกี่ยวจึงต้องใช้วิธีการนับอายุของผล หลังจากดอกบานเต็มที่เป็นอันดับแรก สาลี่แต่ละพันธุ์ที่ปลูกอยู่มีช่วงความแก่สมบูรณ์ที่แตกต่างกันออกไป ก่อนที่จะเก็บผลจะต้องเปิดถุงกระดาษที่ใช้ห่อผลอยู่ออกไปเสียก่อนแล้วจึงค่อยๆ ใช้กรรไกรปลายแหลมขนาดเล็กตัดขั้วผลให้หลุดออกจากต้น โดยตัดให้มีขั้วติดอยู่กับผลด้วย จากนั้นจึงนำไปแยกและบรรจุ
เป็นที่รู้กันดีว่าศาสตร์แห่งการทำอาหารของชาวตะวันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวจีน ล้วนแล้วแต่ลึกลับซ่อนไว้ด้วยฤทธิ์แห่งยา ทำให้ร่างกายแข็งแรง ซึ่งความรู้เหล่านี้ล้วนแต่สืบทอดกันมาเป็นพันๆ ปี แม้แต่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ศาสตร์แห่งอาหารจีนมีผลทางยาอย่างแท้จริงอีกเมนูหนึ่งที่เราจะขอแนะนำ เป็นหนึ่งในศาสตร์แห่งอาหารจีน ที่สำคัญและยังเป็นอาหารรสเลิศ รับประทานไปโดยไม่ทำให้รู้สึกว่า กำลังรับประทานยาอยู่แต่อย่างใด ที่สำคัญยังเป็นของหาง่าย ซื้อขายได้ทั่วไป นั่นคือ “สาลี่” แม้แต่เมืองไทยก็ทำการ เพาะปลูกกันแล้ว แต่ใครเลยจะรู้บ้างว่า สาลี่ ผลไม้พื้นเมืองธรรมดาจะให้คุณค่าอนัตต์ต่อร่างกายสาลี่  ภาษาจีนเรียกว่า  “ค้วยก้วย”  “บิกแป๋”  “เง็กยู” หรือ  “ก้วยจา”  ตำราอาหารจีนยกให้สาลี่เป็น  “สุดยอดแห่งผลไม้” เนื่องจากมีรสชาติหวานเย็นและมีคุณค่าทางอาหารสูง  สาลี่มีหลายพันธุ์  แต่ที่นิยมก็คือสาลี่หอม  และสาลี่น้ำหอม  (สาลี่หิมะ)  ปัจจุบันสาลี่เป็นผลไม้ที่หาได้ง่ายในทุกฤดู

ประโยชน์ของสาลี่
1.             สาลี่มีฤทธิ์เย็น  รสหวานหอม  จึงใช้รักษาผู้ที่มีอาการร้อนใน
2.             สาลี่มีน้ำเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ  จึงช่วยให้สดชื่น  ชุ่มคอ  แก้กระหาย  นอกจากนี้น้ำตาล
3.             สาลี่ยังเป็นน้ำตาลที่ร่างกายนำไปใช้เป็นพลังงานได้ง่าย
4.             สาลี่มีธาตุอาหาร  เช่น  เบต้าแคโรทีน  วิตามินซี  วิตามินเค แคลเซียม  ฟอสฟอรัส  เหล็ก  และเส้นใยที่มีสรรพคุณในการรักษาโรคเบาหวาน  กระตุ้นภูมิคุ้มกันแก้อาการท้องผูก  ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่  และต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งและ
ความชรา
                1.  ช่วยให้กระเพาะทำงานได้ดี  ช่วยย่อย  ขับปัสสาวะ  กระตุ้นการทำงานของไต  และลดความดันโลหิต
                2.  สาลี่ดองกินแก้พิษสุรา  หากกินหลังอาหารจะช่วยย่อย  หรือลดอาการท้องอืดได้วิธีใช้
                3.  คั้นน้ำสาลี่สดดื่มทุกวันจะช่วยป้องกันหวัด  ลดเสมหะ  ลดอาการไอ
                4.  สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน  ให้นำสาลี่หอมหรือสาลี่หิมะ  5 ผล  ปอกเปลือกและปั่นจนละเอียดผสมกับน้ำผึ้ง  250  กรัม  นำไปเคี่ยวจนข้นเป็นเนื้อเดียวกัน  กินและดื่มน้ำตามทุกวัน  จะช่วยให้อาการดีขึ้น
                5.  ตุ๋นรังนกใส่สาลี่และน้ำตาลกรวดพอประมาณ  กินบรรเทาอาการไอเรื้อรัง  ลดอาการหืดหอบ  และอาการป่วยที่เกี่ยวข้องกับปอด
ข้อควรระวัง
                เปลือกของสาลี่มีสารอาหารที่มีคุณค่ามากมาย  แต่เนื่องจากมีการใช้ยาฆ่าแมลงสูงจึงควรล้างให้สะอาดก่อนเสมอ
แอปเปิ้ลเขียว
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Malus domestica Borkh.แอปเปิ้ล เป็นไม้ผลเมืองหนาวประเภทผลัดใบ ซึ่งมีแหล่งกำเนิดทางยุโรป แหล่งปลูกที่สำคัญ ๆ ของโลกคือทวีปอเมริกา ยุโรปทางแถบเอเซียก็มี เช่น โซเวียต จีน ญี่ปุ่นรวมทั้งออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ด้วย สำหรับประเทศไทยนั้นเพิ่งจะถูกนำเข้ามาปลูกไม่กี่ปี ลักษณะต้นและใบ เป็นไม้เนื้อแข็ง รูปร่างของยอดที่เจริญเต็มวัยจะแตกต่างไปตามชนิดและตามพันธุ์ โดยทั่วไปต้นแอปเปิ้ลมีรูปร่างเกือบเป็นทรงกลม แต่บางพันธุ์ก็มีลักษณะสูงชะลูด บางพันธุ์ก็มีลักษณะเป็นพุ่มแจ้ ใบเป็นใบเดี่ยวเขียวสลับกันและขอบเป็นหยัก ผลคล้ายชมพู่มีรอยเป็นปุ๋มทางด้านขั้นและก้นผล แต่ไม่ลึกนักมีสีผิวต่างกันตั้งแต่สีเหลืองคล่ำจนถึงน้ำตาลแดงเข้ม เนื้อมักจะมีสีขาวหรือขาวนวลซึ่งมีลักษณะหยาบ แอปเปิ้ลเป็นพืชในสกุล Rosaceaeมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Malus domestica
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
          ไม้ต้นขนาดกลางถึงเล็ก แตกกิ่งก้านมาก ใบเดี่ยว เรียงสลับ ใบรูปไข่แกมรูปรี โคนใบกลม ปลายใบแหลม ขอบใบจักฟันเลื่อย ช่อดอกแตกออกจากสเปอร์ ออกเป็นกระจุก มีประมาณ 5-9 ดอก แล้วแต่พันธุ์ บานเกือบพร้อมกัน กลีบเลี้ยง 5 กลีบดอก 5 สีขาวแล้วเปลี่ยนเป็นสีชมพู เกสรเพศผู้จำนวนมาก รังไข่ใต้วงกลีบ ผลรูปทรงกลม รูปรีถึง รูปไข่กลับ มีสีสันต่างกันแล้วแต่พันธุ์ รสหวานถึงเปรี้ยว เมล็ดสีน้ำตาล


 สภาพดินฟ้าอากาศ
แอปเปิลเป็นไม้ผลเมืองหนาวที่ต้องการอากาศหนาวเย็นอันยาวนานโดยจะทำให้ระยะพักตัวยุติลงโดยอุณหภูมิที่เหมาะสมคือ 60-85 องศาฟาเรนไฮต์ ถ้าอุณหภูมิต่ำกว่า 20 องศาฟาเรนไฮต์ จะเป็นอันตรายต่อระบบรากอย่างรุนแรง สำหรับดินที่เหมาะสมกับการปลูกแอปเปิลควรเป็นดินร่วนปนทรายมีความเป็นกรด-ด่างประมาณ5.0-6.8 แต่แอปเปิลไม่ชอบดินที่มีน้ำขังบริเวณราก
พันธุ์แอ๊ปเปิ้ล
พันธุ์แอปเปิลมีประมาณ 2,000 พันธุ์ แต่ที่ดีและนิยมปลูกมีเพียง 4 พันธุ์ คือ1. พันธุ์แอนนา เป็นพันธุ์ที่ผสมขึ้นมาในประเทศอิสราเอลเมื่อผลแก่จัดจะมีสีเหลืองสดขนาดใหญ่ปานกลาง รูปผลค่อนข้างยาว2. พันธุ์ เอน เชเมอ ผลค่อนข้างกลมขนาดเล็กว่า แอนนา เล็กน้อย สีเหนืองจัด ทั้ง 2 พันธุ์นี้ปลูกที่ดอยอ่างขางเริ่มจะให้ผลแล้ว3.พันธุ์ โรม บิวตี้ เป็นพันธุ์ที่ปล่อยละอองเรณูหลังจากที่ออกช่อดอกเร็วที่จะสามารถรับเชื้อได้ ดังนั้น พันธุ์นี้จึงไม่มีประโยชน์ที่จะใช้เป็นตัวถ่ายละอองเรณูแก่พันธุ์อื่น ๆ ได้4. พันธุ์ แกลนด์ อเลกเซนเตอร์
การขยายพันธุ์
การขยายพันธุ์แอปเปิลทำได้หลายวิธี เช่นการติดตา ตัดกิ่ง วิธีการทำก็เริ่มจากเตรียมต้นตอ ซึ่งอาจจะได้มาจากการตอนหรือปักชำ แต่มีวิธีการเตรียมต้นตอซึ่งจะได้จำนวนมากและระยะเวลารวดเร็วก็คือ ทำโดยปลูกแอปเปิลลงไปก่อน แล้วตัดต้นแอปเปิลให้เหลือแต่ตอ ตอจะแตกกิ่งก้านสาขาออกมามากมาย เราจึงใช้ดินกลบโคนต้น กิ่งเหล่านั้นก็จะแตกรากออกมา เมื่อรากออกดีแล้วก็ทำการขุดย้ายเอาไปปลูกต่อไป ต้นตอที่ใช้ในประเทศไทยคือพันธุ์ เอ็ม เอ็ม 106 ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ค่อนข้างแคระและสามารถขยายพันธุ์ได้ง่ายและรวดเร็ว นอกจากนี้ก็ยังมีไม้ป่าที่ใช้เป็นต้นตอได้ดี เช่น มะขี้หนู กล้วยฤาษีก่อ เป็นต้น
การปลูกและการปฏิบัติดูแลรักษา
การปลูกแอปเปิลมีระบบการปลูกเป็น 2 แบบ คือ
1. ระบบสี่เหลี่ยมผืนผ้า
              2. ระบบแนวระดับในระบบสี่เหลี่ยมผืนผ้าจะปลูกต้นไม้เป็นมุมฉากต่อกันอยู่แต่ละมุมของสี่เหลี่ยมผืนผ้า เหมาะสำหรับปลูกไม้แซมทำให้พรวนดินได้ 2 ทาง สะดวกในการดูแลรักษา และต้นแอปเปิลจะได้รับแสงแดดมากที่สุด
                ส่วนระบบแนวระดับจะปลูกตามแนวระดับทางเดียวและมักจะคดเคี้ยวไปตามระยะทางห่างกันอีกด้านเป็นระยะจำกัด ระบบนี้ช่วยลดการสึกกร่อนของดินเหมาะกับพื้นที่ที่เป็นเนินเขาหรือที่ลาดชันการเตรียมดิน ก็เหมือนกับการปลูกไม้ผลทั่วไป โดยขุดหลุมขนาด 1x1x1 เมตร กองดินดินบนไว้กองหนึ่ง และดินชั้นล่างไว้อีกกองหนึ่ง นำปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกเก่า ๆ เทใส่ลงไปขนาดพอ ๆ กับกองดินบน ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากันจากนั้นจึงค่อยเอาดินล่างกลบลงไปให้มีระยะสูงกว่าปากหลุมเล็กน้อย นำต้นตกลงปลูกได้แล้วกลบดินบริเวณโคนต้นให้แน่นพอควร ระยะปลูกที่เหมาะสม 3×3 เมตร หรือ 4×4 เมตร ในพื้นที่ 1 ไร่ จะได้ประมาณ 100-177 ต้นฤดูกาลที่ปลูก ควรทำในขณะที่อยู่ในช่วงพักตัว คือช่วงฤดูหนาว ซึ่งในช่วงนี้ต้นพืชจะได้รับการกระทบกระเทือนจากการขุดย้ายน้อยที่สุด

 การตัดแต่งกิ่ง
การตัดแต่งกิ่งจะนิยมทำกันในช่วงที่ต้นแอปเปิลพักตัวคือในฤดูหนาว ซึ่งในช่วงนี้เป็นช่วงที่แอปเปิลทิ้งใบจะสะดวกในการตัดแต่งกิ่งมาก
  การห่อผล
แอปเปิลที่ปลูกอยู่เราใช้กระดาษห่อผลตั้งแต่เมื่อผลยังมีขนาดเล็กอยู่ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันแมลงที่อาจจะมาเจาะผลทำลายและการห่อผลยังช่วยให้สีผลแอปเปิลสวยสดกว่าด้วยโรคและแมลงการปลูกแอปเปิลในเมืองไทยขณะนี้มีศัตรูที่สำคัญ คือ นก ซึ่งจะจิกผลแอปเปิลให้เกิดตำหนิเสียหาย ส่วนศัตรูอื่น ๆ เช่นโรคและแมลงก็มีบ้างแต่ยังไม่ทำความเสียหายมากนัก
การเก็บเกี่ยว
แอปเปิลที่ปลูกในประเทศไทยคือที่ดอยอ่างขาง จะเริ่มออกดอกประมาณเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ และจะเริ่มเก็บผลได้ประมาณต้นเดือนมิถุนายน การเก็บต้องระมัดระวังให้มีการกระทบกระเทือนน้อยที่สุด เพื่อป้องกันการชอกช้ำเสียหายอันจะทำให้ราคาต่ำได้ หลังจากเก็บแล้วก็นำบรรจุหีบเพื่อส่งตลาดต่อไป
ประโยชน์ของแอปเปิ้ล
ผลของแอปเปิ้ลนั้นจะมีสารอาหารจำพวกเกลือแร่และวิตามินหลาย ๆ ชนิดที่มีความจำเป็นต่อร่างกายของมนุษย์ ดังนั้น ผู้ที่รับประทานผลแอปเปิ้ลเป็นประจำก็จะช่วยให้ผู้นั้นมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ดังเช่นสุภาษิตของชาวตะวันตกที่เชื่อว่า หากรับประทานแอปเปิ้ลวันละหนึ่งผลทุกวันแล้ว จะมีร่างกายที่แข็งแรงและปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ นอกจากนี้แล้วแอปเปิ้ลก็ยังมีสรรพคุณในการช่วยย่อยอาหาร ช่วยลดความดันโลหิตภายในร่างกาย ช่วยขับเกลือจำพวกโซเดียมส่วนเกินให้ออกไปจากร่างกาย อีกทั้งแอปเปิ้ลยังมีสรรพคุณในการเป็นยาระบายอ่อน ๆ อีกด้วย นอกจากนี้แล้ว สาร Pectin จำนวนมากในผลแอปเปิ้ลก็ยังจะช่วยทำให้ระบบความสมดุลของการย่อยสลาย และการดูดซึมอาหารของมนุษย์เป็นปกติและดีขึ้นอีกด้วย
สารเคมีที่พบ
             แอปเปิ้ลผลขนาดกลางเพียง 1 ผล ล้างให้สะอาดโดยไม่ปอกเปลือก มีคุณค่าทางโภชนาการโดยประมาณดังนี้ พลังงาน 80 แคลอรี วิตามิน บี6 0.1 กรัม วิตามิน ซี 7.9 มิลลิกรัม เหล็ก 0.2 มิลลิกรัมทองแดง 0.1 มิลลิกรัม โพแทสเซียม 158.7 มิลลิกรัม แต่ถ้าปอกเปลือกปริมาณสารสำคัญจะลดลงบทความในวารสารการแพทย์สหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี พ.ศ.2470 เคยยกย่องว่า แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยภาวะเลือดเป็นกรด ไขข้อรูมาติก เกาต์ ดีซ่าน และอื่นๆ แอปเปิ้ลมีสารสำคัญบางตัว เช่น
         - เบต้าแคโรทีน         
         - วิตามินซี 
         - เส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ที่ชื่อว่า เพคติน และยังมีกรด 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน
คุณค่าทางอาหาร
แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน และผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำตาลในเลือด เมื่อรับประทานอาหารเข้าไป อาหารแต่ละชนิดจะถูกย่อยสลายและดูดซึมผ่านผนังกระเพาะลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะเพิ่มช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของอาหารนั้นๆ เช่น ถ้ารับประทานน้ำผึ้ง น้ำตาลในเลือดจะขึ้นฮวบฮาบทันที แต่สำหรับแอปเปิ้ล ถึงแม้จะมีน้ำตาลธรรมชาติในเนื้อแอปเปิ้ลมาก แต่ก็ทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ เท่านั้น เช่นเดียวกับอาหารจำพวกถั่ว นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่า คนที่รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์มากๆ จะมีโอกาสเกิดเบาหวานต่ำกว่าคนที่รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์น้อย และสำหรับคนที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว ไฟเบอร์จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วย แอปเปิ้ลมีไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำสูงมาก จึงเหมาะสำหรับคนที่เป็นเบาหวาน
 ผลการทดลองยังพบด้วยว่าคนที่รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์มาก จะเกิดอาการความดันโลหิตสูงได้ยากกว่าคนที่รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์น้อย
            บรรดาผู้ที่ติดตามข่าวคราวทางสุขภาพคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า An apple a day keeps the doctor away ซึ่งเปรียบสรรพคุณของแอปเปิลว่า การรับประทานแอปเปิลเพียงวันละผลสามารถทำให้ห่างไกลจากหมอหรือไม่ต้องไปหาหมอ ทั้งนี้เนื่องมาจากมีงานวิจัยหลายชิ้นกล่าวถึงประโยชน์มากมายของแอปเปิล ทั้งบำรุงหัวใจ ลดโคเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด ลดความอยากอาหารและต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจช่วยลดการถูกโรคร้ายทั้งหลายคุกคาม และล่าสุดพบว่า การดื่มน้ำแอปเปิลยังอาจช่วยเสริมความจำและป้องกันภาวะสมองเสื่อม หรือโรคอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุได้           

จากการศึกษาวิจัยในสัตว์ทดลองของ University of Massachusettse Lowell (UML) เผยว่าการดื่มน้ำแอปเปิลอาจช่วยเพิ่มการสร้างของสารสื่อประสาทในสมองที่มีชื่อว่า อะซีทิลโคลีน (Acetylcholine) ซึ่งเป็นตัวกำหนดความสามารถในการเรียนรู้และความทรงจำ จึงช่วยชะลอภาวะสมองเสื่อมได้ ปกติแล้วสารสื่อประสาททั้งหลาย รวมทั้ง สารอะซีทิลโคลีน เป็นสารเคมีที่ถูกสร้างและหลั่งมาจากเซลล์ประสาทเพื่อส่งต่อไปยังเซลล์ประสาทข้างเคียง เหมือนเป็นการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาทด้วยกัน ในการควบคุมการทำงานของทุกส่วนในร่างกาย ตั้งแต่การนั่ง นอน ยืน เดิน รับประทาน รู้สึกและสัมผัส รวมถึงการนึกคิด           

             ก่อนหน้านี้มีงานวิจัยเผยว่า โรคอัลไซเมอร์เป็นโรคที่เกิดจากการเสื่อมของเซลล์สมองจนก่อให้เกิดความบกพร่องทางความทรงจำ การตัดสินใจหรือการใช้เหตุผล โดยมักมีอาการหลงลืม สับสนหรืออารมณ์แปรปรวน ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดกับผู้สูงอายุนั้น จะมีปริมาณของสารอะซีทิลโคลีนในสมองน้อยกว่าปกติมาก อย่างไรก็ตามหากมีการเพิ่มปริมาณของสารอะซีทิลโคลีน ก็สามารถช่วยเพิ่มความทรงจำ ลดการหลงลืมและสามารถชะลอภาวะเสื่อมของสมองในผู้ที่เป็นอัลไซเมอร์ได้ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยอีกหลายชิ้นที่เผยว่า ผักผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างพวกบลูเบอร์รี แอปเปิลนั้น ก็มีส่วนช่วยชะลอภาวะความจำเสื่อมในผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ และยังให้ผลดีกว่าพวกอาหารเสริมหรือวิตามินที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระทั้งหลาย

กรด
กรด (อังกฤษ: acid, มาจากภาษาละติน acidus/acēre หมายถึง "เปรี้ยว") เป็นสสารซึ่งทำปฏิกิริยากับเบส โดยทั่วไป กรดสามารถระบุได้ด้วยรสเปรี้ยว, สมบัติทำปฏิกิริยากับโลหะอย่างแคลเซียม และเบสอย่างโซเดียมคาร์บอเนต กรดที่ละลายน้ำมี pH น้อยกว่า 7 โดยที่กรดจะแรงขึ้นตามค่า pH ที่ลดลง และเปลี่ยนกระดาษลิตมัสสีน้ำเงินเป็นแดง

ตัวอย่างทั่วไปของกรด รวมไปถึง กรดน้ำส้ม (น้ำส้มสายชู)กรดซัลฟิวริก (ในแบตเตอรีรถยนต์), และกรดทาร์ทาริก (ในการทำขนม) ดังสามตัวอย่างข้างต้น กรดสามารถเป็นได้ทั้งสารละลาย ของเหลวหรือของแข็งสำหรับแก๊ส อย่างเช่น ไฮโดรเจนคลอไรด์ ก็เป็นกรดได้เช่นกัน กรดแรงและกรดอ่อนเข้มข้นบางตัวมีฤทธิ์กัดกร่อน แต่มีข้อยกเว้น เช่น คาร์บอรีนและกรดบอริก
นิยามกรดโดยทั่วไปมีสามนิยาม ได้แก่ นิยามอาร์เรเนียส นิยามเบรินสเตด-ลาวรี และนิยามลิวอิส นิยามอาร์เรเนียสกล่าววว่า กรดคือ สสารที่เพิ่มความเข้มข้นของไฮโดรเนียมไอออน (H3O+) ในสารละลาย นิยามเบรินสเตด-ลาวรีเป็นการขยายขึ้น คือ กรดเป็นสสารซึ่งสามารถทำหน้าที่ให้โปรตอน กรดส่วนมากที่พบในชีวิตประจำวันเป็นสารละลายในน้ำ หรือสามารถละลายได้ในน้ำ และสองนิยามนี้เกี่ยวเนื่องที่สุด สาเหตุที่ pH ของกรดน้อยกว่า 7 นั้น เป็นเพราะความเข้มข้นของไฮโดรเนียมไอออนมากกว่า 10-7 โมลต่อลิตร เนื่องจาก pHนิยามเป็นลอการิทึมลบของความเข้มข้นของไฮโดรเนียมไออน ดังนั้น กรดจึงมี pH น้อยกว่า 7 ตามนิยามเบรินสเตด-ลาวรี สารประกอบใดซึ่งสามารถให้โปรตอนง่ายสามารถพิจารณาได้ว่าเป็นกรด ตัวอย่างมีแอลกอฮอล์และเอมีน ซึ่งมีหมู่ O-H หรือ N-H
ในทางเคมี นิยามกรดลิวอิสเป็นนิยามที่พบมากที่สุด กรดลิวอิสเป็นตัวรับอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว ตัวอย่างกรดลิวอิส รวมไปถึงไอออนลบโลหะทั้งหมด และโมเลกุลอิเล็กตรอนน้อย เช่น โบรอนฟลูออไรด์ และอะลูมิเนียมไตรคลอไรด์ ไฮโดรเนียมไอออนเป็นกรดตามทั้งสามนิยามข้างต้น ที่น่าสนใจคือ แม้แอลกอฮอล์และเอมีนสามารถเป็นกรดเบรินเสตด-ลาวรีได้ตามที่อธิบายข้างต้น ทั้งสองยังทำหน้าที่เป็นเบสลิวอิสได้ เนื่องจากอะตอมออกซิเจนและไนโตรเจนมีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว
กรดแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1.  กรดอินทรีย์ เป็นกรดที่ได้จากธรรมชาติ เกิดขึ้นจากสิ่งมีชีวิต เช่น กรดน้ำส้ม (กรดน้ำส้ม) กรดซิตริก (กรดมะนาว) กรดแอสคอร์บิก (วิตามินซี) กรดอะมิโน ฯลฯ
2.   กรดอนินทรีย์ เป็นกรดที่ได้จากแร่ธาตุ บางครั้งเรียกว่ากรดแร่ เช่น กรดซัลฟิวริก (กรดกำมะถัน) กรดไฮโดรคลอริก (กรดเกลือ) กรดไนตริก (กรดดินประสิว) ฯลฯ
หรืออาจแบ่งตามความสามารถในการแตกตัวให้ไฮโดรเจนไอออน มี 2 ชนิดคือ กรดแก่และกรดอ่อน    
1.  กรดแก่ กรดกลุ่มนี้มีค่า pKa น้อยกว่า 1.74 เช่น กรดไฮโดรคลอริก กรดไนตริก กรดซัลฟิวริก ฯลฯ
กรดแก่ยิ่งยวด เป็นกรดแก่เช่นกัน แต่สามารถแตกตัวให้ไฮโดรเจนไอออนมากกว่ากรดซัลฟิวริกเข้มข้น 100% จึงมีค่า pH น้อยกว่า 0 เช่น กรดฟลูออโรแอนติมอนิก
2.  กรดอ่อน กรดกลุ่มนี้มีค่า pKa ไม่น้อยกว่า 1.74 แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นกลาง เช่น กรดน้ำส้ม กรดคาร์บอนิก กรดไฮโดรซัลฟิวริก ฯลฯ
กรดอินทรีย์ที่สำคัญได้แก่
1. กรดฟอร์มิก หรือกรดมด เตรียมครั้งแรกโดยนำมดมากลั่น มีสถานะเป็นของเหลว กลิ่นฉุน สัมผัสกับ ผิวหนังจะคันและบวม อาการคันหรือบวม เมื่อถูกมดกัดก็เพราะกรดฟอร์มิกนี้เอง กรดฟอร์มิกใช้ในอุตสาหกรรมย้อมหนัง ย้อมผ้า
2. กรดอะเซติก หรือกรดน้ำส้ม เป็นกรดที่มีความสำคัญในอุตสาหกรรม ใช้เป็นตัวทำละลาย ใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอและยางสังเคราะห์ ใช้ทำน้ำส้มสายชู โดยนำกรดอะเซติกบริสุทธิ์มาเจือจางเหลือความเข้มข้นประมาณ4.5 % ใช้ในอุตสาหกรรมทำตะกั่วขาว
3. กรดออกซาลิก เตรียมจากการใช้ขี้เลื่อยเผากับโซเดียมไฮดรอกไซด์กรดนี้เป็นของแข็งเป็นพิษ มีประโยชน์ใช้กำจัดสนิมและ รอยเปื้อน หมึกบนผ้าขาวใช้ฟอกสีลินินและฟางข้าวและใช้ขัดทองเหลือง ทองแดงสมบัติของกรดที่ได้จากพืช
              ก. เมื่อทดสอบด้วยเจนเซียนไวโอเลตที่มีสีม่วงจะไม่เปลี่ยนสีของเจนเซียนไวโอเลต(น้ำยาป้ายลิ้นสีม่วง)
              ข. ส่วนใหญ่มีสมบัติเป็นกรดอ่อน มีฤทธิ์กัดกร่อนน้อย
              ค. เป็นกรดที่ใช้ในการปรุงอาหารแต่งรสอาหารหรือเครื่องดื่มได้

น้ำยาลบคำผิด
              เป็นของเหลวสีขาวทึบใช้สำหรับป้ายทับข้อความผิดพลาดในเอกสาร และเมื่อแห้งแล้วสามารถเขียนทับได้ โดยปกติน้ำยาลบคำผิดจะบรรจุอยู่ในขวดเล็ก และมีฝาซึ่งมีแปรงติดอยู่ (หรืออาจเป็นชิ้นโฟมสามเหลี่ยม) ซึ่งจุ่มน้ำยาอยู่ในขวด แปรงนั้นใช้สำหรับป้ายน้ำยาลงบนกระดาษทิชชู่


ก่อนที่จะมีการคิดค้นโปรแกรมประมวลคำ น้ำวู่วลบคำผิดเป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับการพิมพ์เอกสารด้วยเครื่องพิมพ์ดีดมะกอก
รูปแบบแรกสุดของน้ำยาลบคำผิดถูกคิดค้นขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1951 โดยเลขานุการ michael jackson ผู้ก่อตั้งบริษัทลิควิดเปเปอร์ ด้วยการใส่สีขาวบรรจุลงในขวดน้ำยาทาเล็บใช้พู่กันป้ายน้ำยาสีขาวลงบนกระดาษที่พิมพ์คำผิด
เมื่อไม่นานมานี้ น้ำยาลบคำผิดได้เปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ให้คล้ายกับปากกา ปากกานี้จะมีสปริงอยู่ที่ปลาย ซึ่งเมื่อถูกกดลงบนกระดาษ น้ำยาจะไหลออกมาในปริมาณน้อย เมื่อเทียบกับแบบขวดแล้ว ปากกาลบคำผิดสามารถใช้กับเส้นเล็ก ๆ หรือพื้นที่แคบได้ แต่ไม่ได้มีแนวโน้มว่าจะใช้เวลาแห้งน้อยกว่าเดิม เพราะว่าพื้นที่ผิวหน้าในการระเหยนั้นมีขนาดเล็กกว่า


วัสดุอุปกรณ์และวิธีการทดลอง

วัสดุอุปกรณ์การทดลอง

อุปกรณ์


1. ผลไม้(ส้มมะนาวสาลี่, แอปเปิ้ลเขียว)                                         2.มีด 
                   











 3.น้ำยาลบคำผิด                                                                               4.โต๊ะไม้

                                                           








วิธีการทดลอง
         1) นำผลไม้ทั้ง 4 ชนิดมาปลอกเปลือกออกในปริมาณที่เท่ากัน
         2) แบ่งขนาดของโต๊ะไม้ออกเป็น 4 ส่วน
         3) นำน้ำยาลบคำผิด ( ลิควิดเปเปอร์ liquid paper ) มาขีดเขียนให้เท่าๆกัน
         4) นำเปลือกผลไม้ทั้ง 4 ชนิด มาถูบริเวณที่ติดน้ำยาลบคำผิด
         5) เปรียบเทียบว่าเปลือกผลไม้ชนิดใดสามารถลบรอยน้ำยาลบคำผิดได้ดี
         6) บันทึกผลการทดลอง                                                                       





ผลการทดลอง

ผลการทดลอง
ตารางที่ 1 ตารางแสดงเวลาในการใช้ลบน้ำยาลบคำผิดของเปลือกผลไม้แต่ละชนิด

ชนิดผลไม้
เวลาที่ใช้ (นาที )
เปลือกส้ม
0.50
เปลือกมะนาว
1.52
เปลือกสาลี่
13.50
เปลือกแอปเปิ้ล
21.30

สรุป  เปลือกส้มใช้เวลา 50  วินาที ในการลบน้ำยาลบคำผิด  เปลือกมะนาวใช้เวลา 1นาที 52วินาที ในการลบน้ำยาลบคำผิด   เปลือกสาลี่ใช้เวลา13นาที 50 วินาที ในการลบน้ำยาลบคำผิด และ เปลือกแอปเปิ้ลเขียวใช้เวลา 21 นาที 30วินาที ในการลบน้ำยาลบคำผิดผลปรากฏว่า เปลือกส้มสามารถลบน้ำยาลบคำผิดได้ดีที่สุด และ รองลงมา คือ   เปลือกมะนาว   เปลือกสาลี่ และ เปลือกแอปเปิ้ลเขียว   ตามลำดับ








สรุปผลและอภิปรายผล
สรุปผลการทดลอง              

             เปลือกผลไม้สามารถลบน้ำยาลบคำผิดที่ถูกขีดเขียนและติดตามโต๊ะ เก้าอี้และผนังห้องได้  โดยเปลือกส้มสามารถลบน้ำยาลบคำผิดได้ดีที่สุด และเปลือกมะนาวสามารถลบน้ำยาลบคำผิดได้เป็นอันดับต่อมา  รองลงเป็น เปลือกสาลี่  และ  เปลือกแอปเปิ้ลเขียวสามารถลบน้ำยาลบคำผิดได้ตามลำดับ


อภิปรายผลการทดลอง

จากผลการทดลองพบว่าเมื่อนำเปลือกผลไม้ทั้งสี่ชนิดมาลบน้ำยาลบคำผิด ปรากฎว่าเปลือกส้มสามารถลบน้ำยาลบคำผิดได้ดีที่สุด ที่สุด และเปลือกมะนาวสามารถลบน้ำยาลบคำผิดได้เป็นอันดับต่อมา รองลงเป็น เปลือกสาลี่  และเปลือกแอปเปิ้ลเขียวสามารถลบน้ำยาลบคำผิดได้ตามลำดับ จะเห็นได้ว่าเปลือกผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวสามารถลบน้ำยาลบคำผิดได้ดีที่สุด เพราะผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวจะมีกรดอยู่ทำให้สามารถลบน้ำยาลบคำผิดออกได้ง่ายกว่าผลไม้ที่ไม่มีความเป็นกรด

ข้อเสนอแนะ

1.  ลองศึกษาและทดลองเปลือกผลไม้อื่นๆในการนำมาใช้ในการลบน้ำยาลบคำผิด

2.  ลองศึกษาหาวิธีการลบคำผิดโดยที่ไม่ต้องใช้น้ำยาลบคำผิดซึ่งเป็นสารเคมี

3.  ลองศึกษาสารเคมีที่ส่งผลต่อการลบน้ำยาลบคำผิดในเปลือกผลไม้ต่างๆว่าคือสารชนิดใด

4.  ทำการศึกษาสารเคมีที่อยู่ในเปลือกผลไม่ว่ามีผลต่อการลบน้ำยาลบคำผิดอย่างไร




บรรณานุกรม
กรด เบส.”  (2550).  [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก :
             http://nakhamwit.ac.th/pingpong_web/Acid&Base.htm สืบค้น 13 พฤศจิกายน 2557.
 “ประโยชน์ของส้มเขียวหวาน.”  (2551).  [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก :    
           สืบค้น 13 พฤศจิกายน 2557.
 มะนาว สรรพคุณและประโยชน์ของมะนาว 75 ข้อ. มะนาว.”  (2550).  [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก
            สืบค้น 13 พฤศจิกายน 2557.
สาลี่ (2550).  [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก
            %E0%B9%89%29  สืบค้น 13 พฤศจิกายน 2557.






ภาคผนวก


รูปที่  ผลไม้ที่นำมาทดลอง 


รูปที่ 2 ผลไม้ที่นำมาทดลอง มีด และน้ำยาลบคำผิด 


 รูปที่โต๊ะที่ใช้ในการทดลอง
                            
                         รูปที่ น้ำยาลบคำผิดยาว 5 เซนติเมตร    




รูปที่ 5 รอยน้ำยาลบคำผิดกับเปลือกมะนาว   
รูปที่ 6 รอยน้ำยาลบคำผิดกับเปลือกสาลี่



รูปที่ 7 รอยน้ำยาลบคำผิดกับเปลือกส้ม         
รูปที่8 รอยน้ำยาลบคำผิดกับเปลือกแอปเปิ้ลเขียว




ขั้นตอนการทดลอง
มะนาว



รูปที่ 8 เริ่มต้นที่ 0.00 นาที
รูปที่เมื่อเวลา 0.15 นาที  


รูปืั้ 10 เมื่อเวลา 0.45 นาที
รูปที่ 11 เมื่อเวลา 1.25 นาที  



รูปที่ 12 เมื่อเวลา 0.52 นาที
รูปที่ 13 เมื่อเช็ดคราบออก




ส้ม


รูปที่ 14 เริ่มต้นที่ 0.00 นาที
รูปที่ 15  กำลังเช็ด เมื่อเวลา 0.15 นาที


                               
รูปที่ 16 เมื่อเวลา 0.30 นาที                                              รูปที่ 17 เมื่อเวลา 0.45 นาที




รูปที่ 18 เมื่อเวลา 0.50 นาที
รูปที่ 19 เมื่อเช็ดคราบออก




สาลี่


รูปที่ 20 เริ่มต้นที่ 0.00 นาที
รูปที่ 21 เมื่อเวลา 5.00 นาที


รูปที่ 22 เมื่อเวลา 8.00 นาที
รูปที่ 23 เมื่อเวลา 11.00 นาที
                       

        รูปที่ 24 เมื่อเวลา 13.50 นาที
รูปที่ 25 เมื่อเช็ดคราบออก
                       
                     


แอปเปิ้ลเขียว

รูปที่ 26  เริ่มต้นเมื่อ 0.00 นาที
รูปที่ 27 เมื่อเวลา 6.00 นาที

รูปที่ 28 เมื่อเวลา 12.00 นาที
รูปที่ 29 เมื่อเวลา 17.00 นาที


รูปที่ 30 เมื่อเวลา 21.30 นาที
รูปที่ 31 เมื่อเช็ดคราบออก